กล้องดาราศาสตร์ (Astronomical Telescope) โดย ระวี ภาวิไล
วิทยาศาสตร์
วารสารรายเดือน ของสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย
ในพระบรมราชูปถัมภ์
ปีที่ 11 เล่มที่ 4 พ.ศ. 2500 หน้า 1 – หน้า 11
Hits:1324
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) หรือ NARIT กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เผย 8 กันยายน 2567 “ดาวเสาร์ใกล...
อ่านต่อ ...Hits:861
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) หรือ NARIT กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ชวนทุกคนทะยานสู่อวกาศ ท่องอาณาจั...
อ่านต่อ ...Hits:566
จากการก่อตั้งภาคีความร่วมมืออวกาศไทย (Thai Space Consortium หรือ TSC) เพื่อสร้างดาวเทียมวิจัยวิทยาศาสตร์ฝีมือคนไทย สู่โอกาสในการพัฒนาคน ตลอดจนเส้นทางต...
อ่านต่อ ...Hits:1592
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) หรือ NARIT กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยวันที่ 21 มิถุนายน 2567 เป็น ...
อ่านต่อ ...Hits:1509
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) หรือ NARIT กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ สถาบันดาราศาสตร์วิทยุมัก...
อ่านต่อ ...Hits:4597
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยนักวิจัย สดร. ร่วมค้นพบการส่ายของเจ็ทรอบ...
อ่านต่อ ...Hits:3781
เนื่องจากวันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ.2566 ตรงกับวันที่ 1 เดือนรอญับ (Rajap เดือนที่ 7 ในปฏิทินอิสลาม) ฮ.ศ.1444 ดังนั้น วันที่ชาวไทยมุสลิมจะต้องออ...
อ่านต่อ ...Hits:2711
องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NASA) กำลังดำเนินงานในแผนการพามนุษย์กลับไปสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ในปลายคริสต์ทศวรรษนี้ แต่ก่อนหน้าที่นักบินอว...
อ่านต่อ ...Hits:2202
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2022 เวลาประมาณ 18:30 น. ตามเวลาประเทศเมียนมา (19:00 ตามเวลาประเทศไทย) มีรายงานผู้คนในประเทศเมียนมาและแถบภาคเหนือของประเทศ...
อ่านต่อ ...Hits:9330
[ประเด็นสำคัญโดยสรุป] - องค์การอวกาศยุโรป (ESA) จะส่งยานจูซ (JUICE) เพื่อศึกษาดาวพฤหัสบดีและดวงจันทร์น้ำแข็ง 3 ดวง ได้แก่ ยูโรปา แกนีมีด และคัลลิสโต ...
อ่านต่อ ...Hits:21795
ในวันที่ 27 เมษายน 2564 นี้จะเกิดปรากฏการณ์ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกมากที่สุดในรอบปี ที่ระยะทาง 357,370 กิโลเมตร (Perigee) ในช่วงเวลา 22.25 น. ตามเวลาปร...
อ่านต่อ ...Hits:15108
ในคอลัมนี้อยากชวนมาถ่ายฝนดาวตกกันในแบบที่นักดาราศาสตร์นิยมถ่ายภาพกัน ซึ่งจะช่วยให้ได้ภาพถ่ายฝนดาวตกที่เห็นการกระจายตัวได้อย่างชัดเจน โดยในคืน 13 ถึงรุ...
อ่านต่อ ...Hits:15645
ในเดือนพฤศจิกายนนี้ เป็นช่วงสุดท้ายของการออกไปถ่ายทางช้างเผือก เนื่องจากหลังจากนี้ตำแหน่งใจกลางทางช้างเผือก จะมีดวงอาทิตย์เคลื่อนที่เข้ามาอยู่ในตำแหน่...
อ่านต่อ ...Hits:17123
ในคืนวันที่ 21 ตุลาคมนี้ จะเกิดปรากฏการณ์ฝนดาวตกโอไรโอนิดส์ (Orionid Meteors shower) อัตราการตกสูงสุดเฉลี่ยประมาณ 20 ดวงต่อชั่วโมง สังเกตได้ตั้งแต่เวล...
อ่านต่อ ...Hits:4772
ยืนมองท้องฟ้าไม่เป็นเช่นเคย : The Series
บทความชุด #ยืนมองท้องฟ้าไม่เป็นเช่นเคย บอกเล่าหลากหลายเรื่องราวหลังบ้าน เบื้องหลังการพัฒนาเทคโนโลยีดาราศาสตร์ กว่าจะมาเป็นชิ้นงานเทคโนโลยีสุดล้ำ มีเส้นทางอย่างไร ผลงานวิจัยอาจไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด สิ่งสำคัญคือการสร้างเส้นทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายนั้น
Hits:4749
ประเทศไทยกำลังก้าวสู่การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานวิทยาศาสตร์ชั้นนำ และสถาบันอุดมศึกษา รวม 12 แห่ง ภายใต้ #ภาคีความร่วมมืออวกาศไทย (Thai Space Consortium: TSC)
NARIT จึงจัดทำชุดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีอวกาศ ชื่อ “จากพื้นพิภพสู่ห้วงอวกาศ: To the Moon and back” ฉบับประชาชนแบบอ่านง่ายๆ มาฝากกัน ไม่จำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานทางฟิสิกส์ก็สามารถอ่านได้ครับ
สำหรับบทความชุดแรกว่าด้วย Basics of Space Flight มีเนื้อหา 6 ตอน ได้แก่
Hits:4473
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์กรมหาชน) (สดร.) ก่อตั้งอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 1 มกราคม 2552 ตลอดระยะเวลามากกว่า 10 ปี สดร. ได้ดำเนินการตามภารกิจหลัก ทั้งงานวิจัย งานพัฒนาเทคโนโลยี สร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถ่ายทอดองค์ความรู้ สร้างแรงบันดาลใจใฝ่รู้วิทยาศาสตร์ ทำให้วงการดาราศาสตร์ไทยเจริญรุดหน้า กลายเป็นดาวดวงใหม่เปล่งประกายเจิดจรัสในเวทีดาราศาสตร์โลก
ในโอกาสครบรอบ 10 ปี ของการก่อตั้ง สดร. ในปี 2562 สดร. ได้จัดทำหนังสือรวบรวมเรื่องราวตลอด 1 ทศวรรษที่ผ่านมา ในชื่อ “ยืนมองท้องฟ้า ไม่เป็นเช่นเคย” บอกเล่าการทำงานตั้งแต่เริ่มต้น พันธกิจ ผลงานโดดเด่นทั้งด้านการค้นคว้าวิจัย และการพัฒนาเทคโนโลยี และการสื่อสารดาราศาสตร์สู่สังคมไทย รวมถึงเป้าหมายต่อไปในอนาคต
ในทศวรรษที่ 2 สดร. มุ่งเป้าไปยังการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อดาราศาสตร์ สร้างความรู้ความเข้าใจที่ว่า ดาราศาสตร์มิใช่แค่เพียงการดูดาว หากแต่ยังเป็นศาสตร์ที่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ดาราศาสตร์เป็นโจทย์สำคัญที่ก่อให้เกิดการผลักดันนวัตกรรมล้ำหน้า ผลักดันเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและยากที่สุด นอกจากนี้ดาราศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือสร้างจินตนาการ สร้างแรงบันดาลใจใฝ่รู้ในวิทยาศาสตร์ สร้างตัวอย่างอันเป็นที่ประจักษ์ถึงการพัฒนานวัตกรรมด้วยการตอบโจทย์วิจัยดาราศาสตร์ และสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีต่อยอดสู่ภาคอุตสาหกรรม
ในปี 2563 “บริบทใหม่ดาราศาสตร์ไทย” เป็นหนังสืออีกเล่มที่บอกเล่าเรื่องราวก้าวต่อไปของ สดร. ที่เชื่อมโยงไปสู่เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่องานวิจัย การเผยแพร่ความรู้ทางดาราศาสตร์และสร้างความตระหนักสู่สังคม และการใช้ดาราศาสตร์เป็นเครื่องมือสร้างความร่วมมือทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ในมิติของความโดดเด่นของไทยในระดับภูมิภาค และระดับโลก ศักยภาพและโอกาสในการพัฒนาประเทศในอนาคตภายในระยะเวลา 10 ปี ข้างหน้านี้
ติดตามได้จากหนังสือทั้งสองเล่มนี้
Hits:560
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร. หรือ NARIT) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยคืนวันแม่ 12 สิงหาคม ถึงรุ่งเ...
อ่านต่อ ...Hits:719
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร. หรือ NARIT) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ชวนเที่ยวงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห...
อ่านต่อ ...Hits:2391
ประกาศผลการตัดสินการประกวดภาพถ่ายดาราศาสตร์ ประจำปี 2567 หัวข้อ “มหัศจรรย์ภาพถ่ายดาราศาสตร์” ...
อ่านต่อ ...Hits:520
การประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านดาราศาสตร์ ท้องฟ้าจำลอง การศึกษา และการสื่อสารดาราศาสตร์ ระดับนานาชาติ ครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อ่านต่อ ...Hits:6
...
อ่านต่อ ...Hits:7
...
อ่านต่อ ...Hits:66
...
อ่านต่อ ...Hits:55
...
อ่านต่อ ...กล้องดาราศาสตร์ (Astronomical Telescope) โดย ระวี ภาวิไล
วิทยาศาสตร์
วารสารรายเดือน ของสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย
ในพระบรมราชูปถัมภ์
ปีที่ 11 เล่มที่ 4 พ.ศ. 2500 หน้า 1 – หน้า 11
ปรากฏการณ์บนฟากฟ้า :
ลูกไฟอุกกาบาตเชียงคาน
ระวี ภาวิไล
ราชบัณฑิตทางดาราศาสตร์
สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน
ข้อมูลอ้างอิง
ความรู้คือประทีป วารสารราย 3 เดือน
ฉบับเดือนกรกฎาคม – กันยายน ๓/๔๕ ISSN 0125-8583
จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่เป็นอภินันทนาการโดยฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
สุริยุปราคาเต็มดวงกับวิทยาศาสตร์ไทย
คุณวิโรจน์ ประกอบพิบูล
อดีต ผู้อำนวยการฝ่าย ขึ้นตรงกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท.
ในปี 2538 มีปรากฎการณ์ทางดาราศาสตร์ ครั้งสำคัญของประเทศ ที่สื่อมวลชน ถือว่าจะเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ต่อไปในอนาคต คือการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ในตอนสายของวันที่ 24 ตุลาคม ซึ่งจากการคำนวณของนักดาราศาสตร์อย่างแม่นยำ ล่วงหน้านับปี ทำให้สื่อมวลชนมีเวลาที่จะเตรียมตัว และสื่อเดียวในขณะนั้นที่จะถ่ายทอดปรากฎการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง ได้ใกล้ชิดและทันท่วงทีคือสื่อโทรทัศน์ พร้อมทั้งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงของไทย ที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ พร้อมทั้งเป็นครั้งแรกเช่นกันที่คนไทย ได้รับชมการเกิดคราสครั้งแรก นับจากพื้นที่แรกของประเทศคือภาคตะวันออก จนกระทั่งออกจากประเทศไทย ทางภาคตะวันตก ช่อง 9 อสมท.ได้ทำหน้าที่นี้ ในหน้าที่สื่อ ทั้งยังได้รายงานการเกิดคราสจากภูมิภาคประเทศต่างๆ ที่เกิดคราส ด้วยเป้าหมายการทำหน้าที่สื่อที่รายงานเหตุการณ์สำคัญของโลกให้ผู้ชมไทยได้รับทราบ และสืบทอดปลูกฝังให้เยาวชนและสังคมไทย เป็นสังคมวิทยาศาสตร์และสนใจดาราศาสตร์ เฉกเช่นที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ที่ทรงคำนวณได้อย่างแม่นยำล่วงหน้าถึง 2 ปีว่า จะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ในวันที่ 18 สิงหาคม 2411 ทำให้นานาชาติยอมรับ ความเป็นประเทศที่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ จนทุกวันนี้ รัฐบาลได้กำหนดให้ 18 สิงหาคม ของทุกปีเป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
update 28 กันยายน 2563
ภูมิปัญญาและความเชื่อจากปรากฎการณ์บนท้องฟ้า
บุญพีร์ พันธ์วร Think Earth: Think Sky
พฤษภาคม 2537 โครงการ THINK EARTH ร่วมกับ ดร. ระวี ภาวิไล แถลงข่าวเปิดโครงการ THINK EARTH THINK SKY
นำคณะมวลชนร่วมแกะรอยความเป็นมาดาราศาสตร์ไทย ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ณ จังหวัดลพบุรี
ตรึกดิน ตรองฟ้า : ตรึกฟ้า ตรองดิน ปรากฎการณ์สุริยุปราคาบนฟากฟ้าที่ได้เกิดขึ้นอย่างเต็มดวงในประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2538 สรรพคราสครั้งนี่นเคลื่อนผ่าน 11 จังหวัด ตั้งแต่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ถึงอำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว ซึ่งในวงการวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ทั่วไปถือว่าเป็นปรากฎการณ์ที่น่าชื่นชม คนสมัยใหม่โดยเฉพาะในต่างประเทศแทบจะไม่มีความเชื่อถือในเรื่องโชคลางที่จะเกิดขึ้นมาพร้อมกับเหตุการณ์นี้ แต่สำหรับชาวไทยเองแล้วดูเหมือนจะมีความเชื่อถือเกี่ยวกับเรื่องโชคลางและจักรวาลอยู่มากเพราะจักรวาลดูจะเป็นเรื่องที่ลี้ลับและซับซ้อน ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุร้ายก็จะตีความว่าเป็นอิทธพลที่เกิดจากดวงดาว ต้นกำเนิดความเชื่อ ในสมัยก่อนปรากฎการณ์บนท้องฟ้าไม่ว่าจะเป็นดาวหาง ดาวตก ผีพุ่งใต้ สุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา เป็นปรากฎการณ์ที่มนุษย์ในขณะนั้นยังไม่มีความรู้และวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ดีพอที่จะสามารถอธิบายถึงปรากฎการณ์เหล่านั้นได้ เพราะฉะนั้นนักคิด นักปราชญ์หรือผู้ปกครองตลอดจนผู้นำชุมชนพยายามค้นหาคำตอบ หรือสร้างนิยาย ตำนาน หรือจินตนาการ แล้วแต่ที่จะคิดขึ้นมา เพื่อจะอธิบายปรากฎการณ์นั้นในฐานะที่ตนเองเป็นผู้นำชุมชนที่ต้องรอบรู้ทั้งหมด ดังนั้นคำตอบในแต่ละพื้นที่ของแต่ละชนเผ่าหรือต่างศาสนา ย่อมมีความเชื่อที่มีความแตกต่างกันไป ถือเป็นภูมิปัญญาของคนในสมัยโบราณที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ในการพยายามคิดหาคำตอบซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีวิชาดาราศาสตร์ แต่ก็สามารถทำให้คนในขณะนั้นมีทางออกในเรื่องนี้ได้ ล้วนมีความเชื่อที่ต่างเผ่าพันธุ์ต่างความคิดแล้วแต่สภาพแวดล้อมของแต่ละชุมชน ในประเทศไทย มีเอกสารหลายชิ้นที่ค้นคว้ากันอยู่ หนึ่งในนั้นคือ “กำเนิดเทวะ” ของพระยาสัจจาภิรมณ์ หรือ โฉม ศรีเพ็ญ พบเรื่องตำนานเรื่องพระอาทิตย์ พระจันทร์และตำนานเรื่องราหูอมพระอาทิตย์ อมพระจันทร์ โดยในตำนานได้กล่าวถึงการเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาว่าด้วยความเชื่อของชาวอินเดีย ตอนที่เหล่าเทวดา และยักษ์ช่วยกันกวนมหาสมุทรทำพิธีเสกน้ำอมฤตสำหรับดื่มให้เป็นอมตะ พิธีกวนเริ่มด้วยเทวดานำเอาบรรดาสมุนไพรมาโยนลงในมหาสมุทร แล้วยกเอา “ภูเขามันทระ” เป็นไม้กวนโดยใช้วิธีว่าไปจับเอาพญานาคมาทำเป็นเชือกพันรอบเขาแล้วเทวดา และยักษ์ก็เข้าแถวเรียงกันเป็น 2 แถว ผลัดกันชักเย่อไปมา ภูเขาก็หมุนตัว บรรดายาสมุนไพรในมหาสมุทรก็เกิดการหมุนเวียน และถูกบดละเอียดเข้าทุกทีจนข้นเป็นปลัก แต่มี “น้ำใสวิเศษ” ขึ้นตรงกลาง มีเทวแทตย์ทูนถ้วยน้ำโผล่ขึ้นมา แสดงว่าการกวนน้ำอมฤตประสบผลสำเร็จแล้ว แต่เทวดาคิดไม่ซื่อ เลือกจับพญานาคส่วนหาง ให้หัวพญานาคอยู่ด้านยักษ์ เวลาพญานาคบิดตัวจะคลายพิษ ทำให้ยักษ์อ่อนแรง ส่งผลทำให้เทวดาเป็นฝ่ายชนะ พญานาคได้ดื่มน้ำอมฤตเป็นรางวัล แต่ก็มียักษ์ราหู ชื่อ “อสุรินทราหู” แอบปลอมตัวเข้าไปปะปนกับเทวดาเพื่อดื่มน้ำอมฤตด้วย แต่อสุรินทราหูเป็นแทตย์ที่มีหางเหมือนมังกร เพราะเป็นบุตรท้าวเวปจิตติ กับนางสังหิกา จัดอยู่ในพวกอสูร เมื่อปลอมตัวเข้าไป จึงถูกพระอาทิตย์กับพระจันทร์จับได้ พระอาทิตย์กับพระจันทร์จึงได้นำความไปฟ้องพระนารายณ์ พระองค์จึงใช้จักรที่เป็นอาวุธประจำตัวของพระองค์ตัดคอยักษ์ราหู ซึ่งปกติแล้วยักษ์เมื่อต้องอาวุธของพระนารายณ์ก็จะตาย แต่เนื่องจากยักษ์ราหูไปดื่นน้ำอมฤตทำให้เป็นอมตะไม่ตายทำให้ร่างกายขาดเป็นสองท่อนส่วนล่างก็เป็น ดาวหาง ดาวเกตุ อีกส่วนหนึ่งก็เป็นราหูไป ด้วยความแค้นผูกพยาบาท ที่พระอาทิตย์และพระจันทร์นำความไปฟ้องพระนารายณ์ ยักษ์ราหูจึงคอยแก้แค้น หากเมื่อใดที่พบยักษ์ราหาก็จะจับมาหนีบรักแร้ให้ฉุนเล่น หรือไม่ก็อมแสงพระอาทิตย์กับแสงพระจันทร์ การอมมีอยู่สองอย่างคืออมแบบคลี่คือการอมแบบเต็มดวง และอมแบบคลายคือการอมแบบไม่เต็มดวง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทุกคนจะต้องช่วยพระอาทิตย์กับพระจันทร์ชาวบ้านจึงตีเกราะ เคาะไม้จุดประทัด ทำเสียงดังเพื่อไล่ยักษ์ราหูตนนี้ออกไป นี่คือความเชื่อของคนไทยมาแต่โบราณแต่สมัยนี้คงไม่ค่อยมีใครเคยได้ยินหรือ ทราบเรื่องเหล่านี้ เพียงแต่ทราบว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ต้องไปตีเกราะ เคาะไม้ จุดประทัดไล่เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีนิยายอยู่ในหนังสือเฉลิมไตรภพ แต่งเป็นกาพย์เกี่ยวกับเรื่องสุริยุปราคาอีกเรื่องหนึ่งมีเนื้อความคร่าวๆ ว่า มีพี่น้องซึ่งเป็นลูกเศรษฐีชื่อ “หัสวิโสย” อยู่ 3 คน คนโตชื่ออาทิตย์ คนรองชื่อจันทร์ คนสุดท้องชื่อราหู ต่อมาเศรษฐีตายไป ทั้งสามจึงได้ทำบุญตักบาตร อาทิตย์ใช้ขันทอง จันทร์ใช้ขันเงินและอธิษฐานขอให้เกิดเป็นพระอาทิตย์มีผิวพรรณเรืองรองเป็นทองอำไพ จากอานิสงส์ที่ตักบาตรด้วยขันทองและพระจันทร์มีผิวพรรณผุดผ่องเป็นสีเงินยวง ฝ่ายน้องราหูโกรธมากที่พี่ๆ เอาภาชนะดีๆ ไปใช้และอธิษฐานขอแต่สิ่งดีๆ ทั้งนั้น เลยคว้ากระบวยมาเป็นภาชนะตักบาตร และอธิษฐานว่าให้เกิดเป็นราหู มีร่างกายใหญ่โตสามารถบดบังรัศมีของพี่ๆ ทั้งสองคืออาทิตย์และจันทร์ได้ เมื่อตายไปพี่น้องทั้งสามได้เป็นดังอธิษฐาน ราหูนั้นยังมีใจเจ็บแค้นอยู่ เมื่อเห็นพระอาทิตย์และพระจันทร์เป็นต้องทำให้เกิดคราส ในความเชื่อของชาวกระเหรี่ยงในอำเภอแม่แจ่มเรียกว่า “ตาชื่อมื่อ” มีความเชื่อว่าแผ่นดินกินพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นจะต้องช่วยพระอาทิตย์ โดยการตีเกราะ ตีกลอง การเป่าเขาควายเขาโค เพื่อจะไล่ตรงนี้ออกไป
ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่าความเชื่อถือเกี่ยวกับปรากฎการณ์นี้ของคนแต่ละเผ่าพันธุ์ จะแตกต่างกันไป บางเผ่าในทวีปอเมริกาใต้ที่รบราฆ่าฟันกันมาเป็นเวลานานก็เลิกรบกัน เพราะคิดว่าพระเจ้าพิโรธ ชนเผ่าเล็กๆ บางเผ่าจะมีพิธีบูชายันต์เมื่อเกิดปรากฎการณ์นี้ ส่วนในประเทศจีน มีคติความเชื่อเรื่องการเกิดสุริยุปราคาอยู่ในเรื่อง “ไคเภ็ค” อันเป็นพงศาวดารการสร้างโลกของจีนในพงศาวดารนั้นกล่าวว่า พระอาทิตย์ (เพศชาย) นั้นเป็นเทวดามีชื่อคัย แซ่ซึง ส่วนพระจันทร์ (เพศหญิง) เป็นเทพธิดาชื่อบี้ แซ่ถัง เป็นสามีภรรยาที่รักกันมากไม่ค่อยยอมจากกัน เมื่อไม่ยอมจากกันจึงทำให้ไม่ค่อยยอมทำหน้าที่ให้แสงสว่างแก่มนุษย์ แต่เกรงบารมีของคุณต่อเป็งชาน้าติอ่องสีฮ่องเต้ จึงต้องจำใจจากกันไปทำหน้าที่คนละเวลากัน เมื่อเวลาพระอาทิตย์โคจรเร็วพบกับพระจันทร์เข้าด้วยความรักก็ต้องมีการออดอ้อนกันตามประสาก็จะเกิดจันทรคราส แต่ถ้าพระจันทร์โคจรเร็วทันพระอาทิตย์ก็ทำให้เกิดสุริยคราส คนจีน จึงต้องจุดประทัด ตีม้า ตีฬ่อ ให้เกิดอาการตกใจจากกันไปทำหน้าที่ของตนหรืออีกความชื่อหนึ่งของจีนคือ การเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคานั้นอาจหมายถึงการที่มังกรกำลังกลืนกินดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็มี จึงต้องทำให้เกิดเสียงดังเพื่อให้มังกรคลายดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ออกมา สร้างเป็นวัตถุมงคล สำหรับตำนานทางโหราศาสตร์ “ราหู” นับเป็นดาวที่มีคุณทางให้กำลังเมื่อเกิดราหูอมจันทร์คือ เงาของโลกไปบดบังทับดวงจันทร์ดำมืดนั้นเองจะมีคุณทางให้กำลังเพิ่มอานุภาพภายใน ผลักดันให้เกิดความเพียรพยายาม ขัดแข็ง ในขณะเดียวกันก็บาปที่จะทำให้เกิดความลุ่มหลงมัวเมา เช่น ผู้ใดมีราหูกุมลัคนาจะเป็นคนขยันมาก หมายถึงเป็นคนเอาจริงเอาจัง ตามตำนานกล่าวไว้ว่า พระราหูมีเพียงครึ่งตัว เนื่องจากถูกจักรของพระนารายณ์ตัดขาดเพราะปลอมเป็นเทวดาไปแอบดื่มน้ำอมฤต ขณะนั้นพระอาทิตย์และพระจันทร์ได้ไปพบเห็นเข้าจึงได้ไปฟ้องพระนารายณ์ พระนารายณ์ทรงกริ้วเป็นเหตุให้ขว้างจักรไปต้องกายพระราหูขาดเป็นสองท่อน แต่ก็ไม่สามารถทำให้พระราหูตายได้ เนื่องจากความเป็นนิรันดร์ที่ได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไป ดังนั้นพระราหูจึงมีความแค้นเคืองพระอาทิตย์และพระจันทร์มาก จึงคอยเฝ้าจับกินพระอาทิตย์และพระจันทร์อยู่เสมอ อันเป็นที่มาของราหูอมพระอาทิตย์หรือราหูอมจันทร์ “จันทรคราส / สุริยคราส” นั้นเอง
กำเนิดกะลาตาเดียว การสร้างสรรค์งานศิลปะพื้นบ้านของแต่ละท้องถิ่นในทุกยุคทุกสมัยมักจะเกิดขึ้นจากความประทับใจ ความเชื่อในด้านต่างๆ และความต้องการเพื่อประโยชน์ใช้สอยเป็นแรงดลใจ ไม่ว่า ณ แห่งหนตำบลใดในโลก เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็มีการพัฒนารูปแบบของศิลปะนั้นๆ ให้สวยและงดงามขึ้นตามลำดับด้วยภูมิปัญญาในแต่ละท้องถิ่นตามสภาพแวดล้อมและเทคโนโลยีของแต่ละยุคสมัย เช่นเดียวกันกับศิลปะพื้นบ้าน “การแกะกะลาพระราหู” ศิลปินพื้นถิ่นผู้สร้างสรรค์งานก็ได้มีการพัฒนากระบวนการผลิตรูปแบบและองค์ประกอบเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของงานศิลปะพื้นบ้าน โดยมีการฝึกฝนขึ้นภายในหมู่บ้าน มีการพัฒนารูปแบบให้สวยงามทั้งทางด้านองค์ประกอบและลวดลาย สุดแล้วแต่ความสามารถของแต่ละบุคคลหรือช่างที่ทำการแกะ แรกๆ ก็ไม่ได้มีรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน แต่มาสมัยหลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง อำเภอนครไชยศรี จังหวัด
นครปฐม ผู้มีความสนใจทางตำราคาถาอาคมต่างๆ และมีความสนใจเรื่องกะลาตาเดียวนี้เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากโยมบิดา เมื่อท่านได้เป็นเจ้าอาวาสครองวัดก็ได้วางรากฐานและรูปแบบ ตลอดจนลวดลายการแกะสลักกะลาพระราหูให้เป็นมาตรฐาน โดยมีการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน ยุคนี้อาจถือได้ว่าเป็นยุคทองของศิลปะการแกาะกะลาตาเดียวก็คงไม่ผิดนัก กะลาพระราหูกับความเชื่อพื้นบ้าน ตำนานการสร้าง “พระราหูอมจันทร์” นั้นมิได้เนื่องมาจากทางโหราศาสตร์ แต่เนื่องมาจากสิ่งเดียวเท่านั้นคือ “ความเป็นอมตะและเป็นนิรันดร์ของพระราหูที่ไม่รู้จักตาย” อันเป็นแนวทางความเชื่อของบรรพชนโบราณที่อาศัยโฉลกนี้เป็นตัวกำหนด เป็นสูตรพิธีสร้างสรรค์สิ่งซึ่งใช้คุ้มครองตนให้มีชีวิตเป็นอมตะ รอดพ้นจากภยันตรายต่างๆ อีกทั้งยังมีคุณวิเศษอื่นๆ อีกมากมาย อานุภาพแห่งพระราหูนี้มีกล่าวไว้ในหลายๆ ตำราหลากหลายความเชื่อ แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น ทั้งพุทธ ฮินดู ไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ อาจกล่าวได้ว่า อานุภาพแห่งพระราหูนั้นมีอิทธิพลต่อความเชื่อของจิตใจคนไทยมาเป็น
เวลาช้านาน อาจจะสรุปถึงอานุภาพแห่งพระราหูตามที่อาจาร์ยบุญส่ง สุขสำราญ ได้ประมวลมาคือ 1. ใช้ป้องกันอาวุธ หอก ดาบ หน้าไม้ ปืน ตลอดจนภัยพิบัติต่างๆ 2. เพื่อให้เกิดลาภผลและแก้วแหวนเงินทอง 3. ป้องกันคุณไสยกระทำย่ำยี เสน่ห์ เสนียดจันไร ผีปอบ ผีป่า 4. เพื่อให้ผู้พบเห็นเกิดความเมตตา ปราณี รักใคร่ เป็นเมตตามหานิยม 5. เพื่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าเรื่องการงาน นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าถ้านำกะลาพระราหูมาแช่น้ำ จะทำให้น้ำนั้นศักดิ์สิทธิ์เหมือนน้ำมนต์ใช้ประพรมกันโจร กันอัคคีภัย หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ช่วยให้หญิงคลอดลูกง่าย ทั้งยังให้ฤทธิ์กำบังตนพ้นจากการไล่ล่าได้อีกด้วย ทั้งนี้ตามตำราใบลานต้นฉบับการแกะกะลาพระราหูระบุว่า ผู้ที่แกะนั้นจะต้องเลือกใช้แต่กะลาตาเดียวเท่านั้น เนื่องจากมีความพิเศษแปลกพิสดารกว่ากะลาธรรมดา อีกทั้งหาได้ยากและตามคติความเชื่อโบราณก็ถือว่า กะลาตาเดียวเป็นของที่ดีอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว เช่นเดียวกับของที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแล้วมีความผิดแปลกออกไป นอกจากนี้ คติไทยโบราณท่านยังนิยมใช้กะลาตาเดียวทำประโยชน์ต่างๆ อีกหลายอย่าง เช่น ในวิชาการแพทย์โบราณระบุไว้ว่า กะลาตาเดียวใช้สำหรับตัดต้อที่ตาผู้ป่วยให้หายได้ หรือใช้สำหรับตักข้าวสารใส่หม้อโบราณ โดยเชื่อว่าจะให้ผลทางความเจริญงอกงามทั้งทางด้านฐานะและความเป็นอยู่ หรือใช้สำหรับกันและแก้เสนียดจัญไร ผีสางต่างๆ ฯลฯ กะลาตาเดียวในความเชื่อที่บูชาและเชื่อมั่นศรัทธาในพระราหูนั้น จะทำพิธีลงคาถาอาคมในขณะที่เกิดสุริยคราสและจันทรคราส เรียกว่า “โมกขบริสุทธิ์” เชื่อว่าจะทำให้ความวิเศษของกะลาตาเดียวมีคุณค่ามากขึ้น โดยลงยันต์ “สุริยประภา” หรือ “สุริยบัพพา” ขณะที่เกิดสุริยคราสและลงยันต์ “จันทรประภา” หรือ “จันทรบัพพา” ตอนเกิดจันทรคราสทั้งสองคาถานี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นสุดยอดของยันต์ทั้งปวง คาถา “สุริยบัพพา” และ “จันทรบัพพา” นี้ ความเชื่อของคนโบราณจะภาวนาขณะที่จะเดินทางออกจากบ้านเพื่อจะได้ให้ “พระราหู” คุ้มครองป้องกันภยันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ตนขณะเดินทาง อย่างไรก็ตามความเชื่อของคนโบราณในอดีต และพัฒนามาจนกระทั่งปัจจุบันเปรียบเสมือนภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นศิลปะของชาวบ้านที่พยายามจะหาคำตอบ แสวงหาทางเลือกต่างๆ ในการแก้เคล็ดในการปกป้องคุ้มครองให้ตนปลอดภัยจากภยันตราย
ทั้งหลายทั้งปวง อาจจะมีคำถามหลายๆ คำถามที่ว่าสิ่งเหล่านี้งมงายหรือไม่ทุกอย่างมีคำตอบในตัวของมันเองอยู่แล้วแต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้เลื่อมในศรัทธาสิ่งเหล่านั้นมีคุณงามความดีมากน้อยเพียงไรเอาสิ่งเหล่านี้ไปใช้ในทางมิชอบหรือไม่ แต่สิ่งที่เป็นคำตอบได้ดีที่สุดก็คือทุกสิ่งอยู่ที่ใจ ถ้าจิตใจของเราบริสุทธิ์ยึดมั่นคำสั่งสอนของพระพุทธองค์แล้วเราไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น
update 28 กันยายน 2563
เล่าเรื่อง
“ศาสตาจารยกิตติคุณ ดร.ระวี ภาวิไล”
โดย คุณภาสุรี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
บุตรสาว
อาจารย์ระวีทำงานอะไร
อาจพูดได้ว่าชีวิตส่วนตัวกับการงานของอาจารย์ระวีนั้นแทบจะแยกออกจากกันไม่ได้ เพราะงานทั้งหลายของอาจารย์ระวีเริ่มต้นจากสิ่งที่อาจารย์ระวีรักที่จะให้ความสนใจ แล้วลงมือทำงานตามที่เห็นสมควรเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ แล้วหาหนทางถ่ายทอดความรู้ให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่น สิ่งที่อาจารย์ระวีให้ความสนใจมักจะมีหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจารย์เชื่อว่าเรื่องทุกเรื่องเกี่ยวข้องกันหมด ไม่มีเส้นแบ่งแยกระหว่างงานที่ได้เงินกับงานที่ไม่ได้เงิน
C1961R1 Humason by Rawi Bhavilai
ดาวหาง ฮูมาซอน ชื่อเดิม C/1961 R1 (หรือที่เรียกว่า 1962 VIII and 1961e) เป็นดาวหางที่โคจรแบบไม่มีคาบที่แน่นอน ถูกค้นพบโดย Milton L. Humason เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1961. ระยะทางที่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดของดาวหางนี้อยู่ไกลกว่าวงโคจรของดาวอังคารรอบดวงอาทิตย์ หรือ ที่ 2.133 AU. ระยะเวลาในการโคจรของมันออกไปจากดวงอาทิตย์ประมาณ 2516 ปี ดาวหางนี้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของนิวเครียสประมาณ 30-41 กม [2] มันเป็นดาวหางยักษ์ ที่มีปฏิกิริยามากกว่าดาวหางปกติที่ระยะห่างจากดวงอาทิตย์เท่าๆ กัน ด้วยความสว่าง 1.5 -3.5 แมกนิจูด ซึ่งสว่างกว่าของดาวหางทั่วไปถึง 100 เท่า ทำให้สามารถมองเห็นดาวหางนี้อย่างเด่นชัดบนท้องฟ้า และสเปกตรัมจากหางของดาวหางบ่งบอกถึงองค์ประกอบที่หนาแน่นไปด้วยไอออน CO+ ซึ่งมีลักษณะเข่นเดียวกันกับที่พบในหางของดาวหาง Morehouse (C/1908 R1). [4]
อ.ระวี ภาวิไล ในขณะนั้นได้ศึกษาต่อระดับปริญญาเอก ณ ประเทศออสเตรเลีย ได้เฝ้าสังเกตการณ์ดาวหาง Humason ที่ปรากฏอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2504
กล่องบรรจุฟิลม์กระจกบันทึกภาพดาวหาง Humason
ฟิลม์กระจกบันทึกภาพดาวหาง Humason
ภาพดาวหาง Humason
ภาพแสกนจากฟิล์มกระจก
update 25 มิถุนายน 2563
ดาวหางฮัลเลย์
“ดาวหางฮัลเล่ย์” ชื่อดาวหางที่คนไทยมีความคุ้นเคยและรู้จักมากที่สุด เหตุเพราะดาวหางมีความสว่างที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ชัด
เอ็ดมันด์ ฮัลเล่ย์ เป็นผู้คำนวณและทำนายการปรากฏตัวของดาวหางได้สำเร็จเป็นคนแรกด้วยฮัลเล่ย์พบว่าดาวหางดวงนี้จะโคจรกลับมาให้เห็นบนท้องฟ้าทุกๆ 75 - 76 ปี ฮัลเล่ย์ได้ใช้ข้อมูลจากที่มีผู้บันทึกการพบเห็นดาวหางที่ปรากฏในปี ค.ศ. 1531, 1607 และ 1682 โดยฮัลเล่ย์สันนิฐานว่าดาวหางที่ปรากฏนี้น่าจะเป็นดาวหางดวงเดียวกัน และฮัลเล่ย์ได้ทำนายว่าดาวหางดวงนี้จะกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในปี ค.ศ. 1759 แต่ฮัลเล่ย์ไม่สามารถพิสูจน์ผลการคำนวณและทำนายของเขาได้เนื่องจากเขาได้เสียชีวิตไปก่อนที่ดาวหางจะมาปรากฏตัว ถึงแม้ว่าฮัลเล่ย์จะเสยชีวิตไปแล้วแต่คำทำนายของเขายังคงอยู่ และในปี ค.ศ. 1758 ตามคำทำนายของฮัลเล่ย์ก็มีผู้พบเห็นดาวหางดวงนี้ปรากฏตัวขึ้นจริง ๆ ในวันคริสต์มาสของปีนั้นเอง สร้างความตื่นเต้นแก่ผู้คนในโลกตะวันตกเป็นอย่างมาก ในเวลาต่อมาดวงนี้จึงได้ชื่อตามชื่อของเขาว่า “ดาวหางฮัลเล่ย์”
ข้อมูลภาพ จากหนังสือ ฮัลเล่ย์ Halley
ศุภดารา พลสมุทร ค้นคว้า เรียบเรียง
ดรุณี แปล เรียบเรียง
ในช่วงต้นๆ ปี 2529 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2529 ดาวหางฮัลเล่ย์ เริ่มปรากฏบนฟากฟ้าทางภาคใต้ของประเทศไทย สามารถมองเห็นชัดได้ด้วยตาเปล่า การโคจรกลับมาในครั้งนี้สร้างความตื่นตัวให้ประชาชนคนไทยสนใจเรื่องของดาราศาสตร์มากขึ้น ในยุคนั้น ศ.ดร.ระวี ภาวิไล อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ที่บุกเบิกการศึกษาด้านดาราศาสตร์รุ่นแรกๆ ของไทย ได้ร่วมสังเกตการณ์การกลับอีกครั้งของดาวหางฮัลเล่ย์ ซึ่งได้สร้างความตื่นตัวให้เยาวชนไทยหันมาให้ความสนใจการเรียนรู้ด้านดาราศาสตร์มากขึ้นกับการกลับของดาวหางฮัลเล่ย์ในครั้งนี้
กล้องโทรทรรศน์แบบนิวโทรเนียน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้ว
ศ. กิตติคุณ ดร.ระวี ภาวิไล ใช้สังเกตการมาเยือนของดาวหางฮัลเลย์ เมื่อต้นปี พ.ศ. 2529
มรดกที่ฮัลเล่ย์ทิ้งไว้คือเทคนิคการคำนวณหาคาบวงโคจรของดาวหาง และนักดาราศาสตร์ยุคต่อมาก็ใช้เทคนิคการคำนวณของฮัลเล่ย์ทำนายการมาเยือนของดาวหางดวงนี้ในอนาคต ซึ่งดาวหางฮัลเล่ย์จะกลับมาให้เราได้ชมอีกครั้งในราวช่วงกลางปี พ.ศ. 2604 จากมรดกที่ฮัลเล่ย์ฝากไว้ให้คนรุ่นหลังให้พิสูจน์ผลการคำนวณของเขาว่าถูกต้องหรือไม่ตามที่คำนวณไว้...
update 18 มิถุนายน 2563
หวนรำลึกปรากฏการณ์สุริยุปราคา 24 ตุลาคม 2538
วรวิทย์ ตันวุฒิบัณฑิต
นักดูดาวติดดินแห่งแปลงยาว
ในช่วงเกิดการปรากฎการณ์สุริยุปราคา 24 ตุลาคม 2538 ข้าพเจ้ามีความตื่นเต้นมากเนื่องจากในช่วงนั้นข้าพเจ้ากำลังอยู่ในช่วงที่ศึกษาและฝึกถ่ายภาพดาราศาสตร์ ข้าพเจ้ามีโอกาสได้เดินทางไปสีคิ้วร่วมกับทีมงานของสมาคมดาราศาสตร์ไทย โดยตั้งกล้องถ่ายภาพอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ห่างกันประมาณ 10 เมตร ซึ่งเป็นบริเวณใกล้กับพื้นที่สังเกตการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พร้อมด้วยนักเรียนนายร้อย จปร.
ข้าพเจ้าจำได้ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นมีประชาชนจำนวนมากมายมหาศาล รวมถึงประชาชนที่อยู่บริเวณรอบๆ พื้นในส่วนของพื้นที่สังเกตการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก่อนเริ่มปรากฎการณ์ท้องฟ้าดูเหมือนจะไม่เอื้ออำนวยนัก แต่พอเริ่มจะเข้าคราสท้องฟ้ากับเปลี่ยน เมฆหายไปหมด ช่วงใกล้ปรากฎการณ์ประชาชนก็มีความตื่นเต้น พากันจ้องมองฟ้า ช่วงปรากฏการณ์คราสเต็มดวงอุณหภูมิก็มีความเย็นวูบขึ้นชั่วขณะ ภาพบนท้องฟ้าสวยงามมากเนื่องจากปรากฎการณ์ diamond ring มีแสงเหมือนแก้วแวววับ แต่มีความเร็วมาก ตัวข้าพเจ้าและลูกชายของข้าพเจ้าคุณเอกชัยซึ่งช่วยถ่ายภาพอยู่ ณ ขณะนั้น ก็กำลังถ่ายภาพและสามารถถ่ายภาพตามที่ตั้งใจไว้มากมาย ส่วนข้าพเจ้าก็ได้สัมผัสบรรยากาศที่ประชาชนเดินเข้ามาในสนามด้วยความตื่นเต้น ซึ่งบริเวณนั้นเป็นบริเวณที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประทับอยู่ แต่ท่านก็ไม่ได้ถือพระองค์แต่อย่างใด และทรงอนุญาตให้ประชาชนเข้ามาร่วมสัมผัสบรรยากาศ ประชาชนทุกๆ คนต่างมีความตื่นเต้นกับปรากฏการนี้มาก มีเสียงตะโกนร้องกันอย่างกึกก้อง ปรากฏการณ์ในครั้งนี้นี้สวยงามมากสมกับที่ทุกๆ คนรอคอย การถ่ายภาพสามารถถ่ายภาพได้ ทุกๆ 5 นาที ได้ภาพครบทุกปรากฏการณ์พอคราสเริ่มจะออกอุณหภูมิก็เริ่มสูงขึ้นแต่ไม่ร้อนมีความเย็นๆ อยู่บ้าง
ข้าพเจ้ามีความตื่นเต้นกับปรากฏการณ์ในวันนั้นมาก เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้เห็นปรากฏการณ์สวยงามบนท้องฟ้าประเทศไทย มีโอกาสได้ถ่ายภาพ มีโอกาสได้ร่วมชมปรากฏการณ์กับประชาชนเป็นจำนวนมาก ขอบันทึกไว้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่สุดยอดมากจริงๆ
update 11 มิถุนายน 2563
เหตุการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๘
รองศาสตราจารย์ ดร. สัมพันธ์ สิงหราชวราพันธ์
สุริยุปราคาที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นสุริยุปราคาเต็มดวงที่ผมได้มีโอกาสมองเห็นด้วยตาตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต เนื่องจากสุริยุปราคาเต็มดวงที่สามารถมองเห็นได้ในประเทศไทยก่อนหน้านั้น เกิดเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ตั้งแต่ผมยังไม่เกิด
ก่อนเที่ยงวันนั้นคนไทยต่างเฝ้ารอคอยด้วยใจจดใจจ่อ เพราะข่าวปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ครั้งสำคัญที่ว่าจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในรอบ ๔๐ ปี เป็นข่าวดังทั่วประเทศ เมื่อใกล้ถึงเวลาท้องฟ้าเริ่มค่อยๆมืดลง ดวงจันทร์เริ่มเคลื่อนที่เข้าบังดวงอาทิตย์ทำให้เกิดเงามืดบนพื้นโลก จนในที่สุดเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาทุกคู่ที่เฝ้าดู คือ ปรากฏการณ์หัวแหวนที่เปล่งประกายสว่างจ้าดั่งประกายสะท้อนแสงของหัวแหวนเพชร ที่เรียกว่า ปรากฏการณ์ลูกปัดเบลลี่ (Baily’s beads) ซึ่งเกิดขึ้นประมาณ ๒-๓ นาที ท่ามกลางเสียงร้องฮือฮาของทุกคนที่เฝ้าดูปรากฏการณ์ดังกล่าว จากนั้นดวงอาทิตย์ถูกดวงจันทร์บังสนิทเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง ท้องฟ้ามืดมิดคล้ายตอนกลางคืน เหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ในเช้าวันนั้น สำหรับผมเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นประทับใจมากด้วยตระหนักว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีโอกาสพบเห็นได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต และทุกวันนี้ยังจำได้ดีถึงความรู้สึกตื้นเต้นกับเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างไม่ลืมเลือน
update 4 มิถุนายน 2563
บันทีกความทรงจำถึงสุริยุปราคา พ.ศ. 2538
โดย ผศ. ดร. เรืองศักดิ์ ทรงสถาพร
เมื่อวันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2538 ผู้เขียนขณะนั้นรับราชการในตำแหน่งอาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ได้ออกเดินทางจาก มธ. ท่าพระจันทร์ พร้อมกับคณาจารย์ บุคลากร และครอบครัวของ มธ. จำนวนประมาณ 60 คน มุ่งหน้าสู่จังหวัดลพบุรี ทัศนศึกษาพระราชวังพระนารายณ์ราชนิเวศน์โดยมีวิทยากรจากภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มธ. ให้คำบรรยายถึงพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ได้โปรดให้สร้างเมืองลพบุรีและทรงพัฒนาจนมีความรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางค้าการปกครองและยังได้ทรงส่งคณะราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศฝรั่งเศสในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และพระองค์ยังทรงสนพระทัยในการศึกษาวิชาการแขนงต่างๆ รวมทั้งดาราศาสตร์และมีหลักฐานว่าพระองค์ได้เสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ตำหนักเย็นทะเลชุบศรลพบุรีเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2231
จากลพบุรีคณะก็เดินทางเรียนรู้สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในจังหวัดพิษณุโลกและกำแพงเพชรจนสิ้นสุดวันก็เดินทางเข้าที่พักในจังหวัดกำแพงเพชรโดยมีแผนการทัศนศึกษาว่าจะไปสังเกตุปรากฏการณ์สุริยุปราคาในวันถัดไปที่โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม
ในตอนเย็นของวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2538 นั้น ผู้เขียนและทีมงานได้จัดการบรรยายให้กลุ่มร่วมทัศนศึกษาได้เข้าใจว่าสุริยุปราคาเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมหากพลาดโอกาสครั้งนี้จะต้องรออีก 75 ปี จึงจะเกิดขึ้นอีกครั้งเหนือท้องฟ้าประเทศไทย และที่สำคัญที่สุดคือวิธีการสังเกตที่ถูกต้องและปลอดภัย ผู้เขียนยังได้เน้นให้ทุกคนเตรียมสังเกตปรากฏการณ์สำคัญ 3 อย่าง ที่จะเกิดขี้นเมื่อเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง คือ
ผู้เขียนจำได้ว่าแม้ทุกคนจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางแต่เห็นชัดถึงความสนใจความกระตือรือร้นใคร่รู้โดยเฉพาะจากเหล่าเด็กๆ ที่ร่วมเดินทางไปด้วย ต่างแย่งกันยกมือถามด้วยประกายตาแห่งความอยากรู้อยากเข้าใจอย่างยิ่ง
วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2538 กลุ่มก็รีบออกเดินทางแต่เช้าเพื่อไปที่โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคมที่ทางทีมงานได้ประสานงานขอใช้สถานที่ไว้แล้ว พบว่าที่โรงเรียนมี ครู-อาจารย์ นักเรียน และผู้ปกครองจำนวนมากก็มาเฝ้ารอสังเกตปรากฏการณ์ครั้งนี้จนเต็มพื้นที่โรงเรียน ผู้เขียนได้ใช้ช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อบรรยายวิธีการเฝ้าดูสุริยุปราคาที่ปลอดภัยแก่ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น และพบว่าส่วนใหญ่ได้เตรียมแว่นกรองแสงและอุปกรณ์อื่นๆ มาพร้อม แต่ยังมีนักเรียนบางคนที่ไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสมซึ่งทางกลุ่มทัศนศีกษาได้เตรียมแว่นกรองแสงเพื่อแจกจ่ายจำนวนหนี่ง ผู้เขียนยังได้แนะนำว่าหากไม่มีอุปกรณ์การดูจริงๆ แล้ว ก็ยังสามารถเฝ้าดูอย่างปลอดภัยก็คือให้ไปยืนดูใต้ต้นไม้ พอช่วงเกิดสุริยุปราคาแสงอาทิตย์จะส่องผ่านรูใบไม้หรือช่องว่างระหว่างใบซึ่งก็คล้ายๆกับเป็นกล้องรูเข็มจะทำให้สามารถเห็นภาพเงาของสุริยุปราคาบนพื้นหรือหากเอากระดาษขาวแผ่นใหญ่วางไว้บนพื้นก็สามารถเห็นการเกิดสุริยุปราคาได้เช่นกัน
เมื่อถึงเวลาประมาณ 9 นาฬิกา 25 นาที สามารถสังเกตุเห็นเงาดวงจันทร์เริ่มสัมผัสภาพผิวดวงอาทิตย์ที่นักดาราศาสตร์ เรียกว่า การสัมผัสครั้งแรก (First contact) โดยการสัมผัสเริ่มด้านบนค่อนทางขวาเล็กน้อยของภาพดวงอาทิตย์ ผู้เขียนมีข้อเสียใจอย่างยิ่งที่ไม่สามารถเสนอรายละเอียดของปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์เพราะมหาอุทกภัยปี พ.ศ. 2554 ได้ทำลายห้องปฏิบัติการอุปกรณ์เครื่องมือและเอกสารต่างๆจำนวนมากซึ่งรวมทั้งข้อมูลการศึกษาสุริยุปราคาเต็มดวงปี พ.ศ. 2538 ไปจนหมด ผู้เขียนยังจำภาพความเสียหายในครั้งนั้นได้เป็นอย่างดีจำได้ว่าห้องทำงานของผู้เขียนต้องจมอยู่ใต้น้ำด้วยระดับควาสูงของน้ำถึง 2 เมตรเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ทำให้ภาพถ่ายฟิล์มภาพสุริยุปราคาเต็มดวงถูกทำลายสิ้น เป็นการย้ำเตือนว่ามนุษย์ต้องเรียนรู้เข้าใจธรรมชาติและปรับตัวให้อยู่กับธรรมชาติไม่พยายามฝืนธรรมชาติ
แต่ถึงอย่างไรผู้เขียนยังจำปรากฏการณ์ที่สุดประทับใจครั้งนั้นได้ว่าหลังจากเกิดการสัมผัสครั้งแรกแล้วเงาดวงจันทร์ก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้าบดบังดวงอาทิตย์จากด้านบนลงล่าง ดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆ มืดลงทีละน้อยอุณหภูมิรอบตัวก็เริ่มเย็นลงประมาณ 3 องศาเซลเซียส สังเกตุเห็นฝูงนกบินกลับรัง ผู้คนรอบตัวก็เริ่มตื่นเต้นอย่างยิ่งจนเวลาประมาณ 10 นาฬิกา 44 นาที ก็ได้เห็นปรากฏการณ์แหวนเพชรขึ้นเป็นครั้งแรก โดยหัวเพชรปรากฏอยู่ตอนเหนือค่อนไปทางขวาของภาพดวงอาทิตย์ซึ่งในตอนนั้นรอบๆ ตัวผู้เขียนได้ยินแต่เสียงอุทานขึ้นพร้อมๆ กันด้วยความประทับใจที่ได้เห็นภาพแหวนเพชร หลังจากนั้นอีกประมาณสิบถึงยีสิบวินาที เสียงอุทานยิ่งดังขึ้นเพราะขณะนั้นสามารถเห็นลูกปัดของเบลีย์รอบภาพดวงอาทิตย์ที่มืดเกือบสนิท แล้วผ่านไปอีกไม่กี่สิบวินาทีทุกคนก็ต้องอุทานเสียงดังอีกครั้งเพราะได้เห็นโคโรน่าของดวงอาทิตย์สว่างชัดเจนมากรอบภาพดวงอาทิตย์ที่มืดเพราะเงาดวงจันทร์บังสนิทแล้ว ทุกคนได้ดื่มด่ำกับความงดงามของโคโรน่าอยู่ประมาณ 1 นาที 52 วินาที เงาดวงจันทร์เคลื่อนลงทางใต้ของดวงอาทิตย์จนสามารถเห็นลูกปัดของเบลีย์อีกครั้ง ตามมาด้วยปรากฏการณ์แหวนเพชรครั้งที่สองโดยหัวเพชรเห็นได้ทางใต้ค่อนไปทางซ้ายของภาพดวงอาทิตย์ จนกระทั่งเวลาประมาณ 12 นาฬิกา 32 นาทีดวงอาทิตย์ก็กลับมาสว่างดังเดิมนับเป็นการสิ้นสุดของสุริยุปราคา พ.ศ. 2538 ผู้เขียนตระหนักดีว่านี่จะเป็นการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงเหนือท้องฟ้าไทยเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตเพราะจะเกิดอีกครั้งในอีก 75 ปีข้างหน้า
ผู้เขียนได้เห็นอาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งกำลังยืนซับน้ำตาอยู่ ผู้เขียนจึงรีบเข้าไปถามหาสาเหตุ ท่านอาจารย์ตอบกลับว่า “(ดิฉัน) ไม่สามารถกลั้นน้ำตาแห่งความตื้นตันเมื่อได้เห็นความงดงามน่ามหัศจรรย์ของสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้มากและต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่ทำให้ (ดิฉัน) ได้เห็นความงามสุดประทับใจครั้งนี้ที่นับได้ว่าเป็นครั้งหนึ่งและครั้งเดียวในชีวิต” คำตอบสั้นๆ นี้ ทำให้หัวใจของผู้เขียนพองโตด้วยความปลื้มปิติและจะอยู่ในความทรงจำตลอดไป
update 2 มิถุนายน 2563